Third : Learning log (18th August ,2015)
Learning log
Tenses
ปัจจุบันนี้ภาษาอังกฤษนับได้ว่าเป็นภาษาที่มีความสำคัญภาษาหนึ่ง
เป็นภาษาหลักที่หลายๆประเทศใช้ในการติดต่อสื่อสาร ทั้งในระดับภายในประเทศและระหว่างประเทศ
รวมถึงการศึกษาหาความรู้ต่างๆซึ่งถ้าหากสามารถที่จะเข้าใจภาษาอังกฤษได้แล้วย่อมเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนเป็นอย่างมาก
หลายคนที่ได้เรียนภาษาอังกฤษมาหลายปีสามารถที่จะเข้าใจภาษาอังกฤษได้ จะแปลอังกฤษเป็นไทยหรือจะสื่อสารไทยเป็นอังกฤษก็ยังไม่สามารถทำได้ดีนัก
สิ่งสำคัญที่เป็นพื้นฐานของการศึกษาภาษาอังกฤษ นอกจากคำศัพท์ที่ต้องจำแล้ว
ยังมีเรื่องของ Tense ที่เป็นไวยากรณ์พื้นฐานของภาษอังกฤษด้วย
หากสามารถทำความเข้าใจ จดจำสิ่งที่จำเป็นแล้ว
เราจะสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการอ่าน เขียน ฟัง
และพูดภาษาอังกฤษได้อย่างแม่นยำ
Tense หมายถึง กาลหรือเวลา
เป็นรูปแบบของกริยาที่แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำต่างๆว่าเกิดขึ้นในปัจจุบัน อดีต
หรือในอนาคต แบ่ง Tenses เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆดังนี้
Present Tense
[1.1] S + Verb 1 (บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ
ตรงๆไม่ซับซ้อน)
[Present] [1.2] S + is/am/are + V. ing (บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไรอยู่)
[1.3] S + has/have + V.3 (บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึงปัจจุบัน)
[1.4] S + has/have + been + V.ing
(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำต่อไปอีก)
Past Tense
[2.1] S + V.2 (บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วในอดีต)
[Past] [2.2] S + was/were + V.ing (บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต)
[2.3] S + had + V. 3 (บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง)
[2.4] S + had + been + V.ing (บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด)
Future Tense
[3.1] S + will/shall + V. 1 (บอก
เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต)
[Feature] [3.2] S + will/shall + be + V.ing
(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไรอยู่)
[3.3] S + will/shall + have + V.
3 (บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง)
[3.4] S + will/shall + have +
been + V.ing (บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า)
1.)Present
Simple Tense
โครงสร้าง S+ V.2
การใช้
· ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ เช่น
-
The earth moves round the sun.
· ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงตามคำสุภาษิต คำพังเพย สุทรพจน์ เช่น
-
Negligence is the part of death.
· ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด(ก่อนหน้าที่จะพูดหรือหลังพูดไปแล้ว
จะไม่เป็นจริงเหมือนอย่างที่พูดก็ได้ แต่ที่แน่ๆคือต้องเป็นจริงในขณะที่พูด) เช่น
-
He stands
under the tree.
· .ใช้กับคำกริยาที่แสดงความรู้สึก ความคิด เช่น
-
I love
him so much.
· เพื่อแสดงการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันแน่นอน เช่น
-
The plan arrives at Don Muang Airport at 9.00 am.
· เพื่อบอกถึงคำพูดที่ผู้ประพันธ์ได้กล่าวหรือเขียนไว้ เช่น
-
A poet says “ Beauty is truth”.
· .ใช้ใน If-clause เพื่อแสดงถึงเงื่อนไขที่เป็นไปได้
เช่น
-
If
you come , I will go.
หลัการเติม s หรือ es
·
คำกริยาปกติทั่วๆไป เติม s
ท้ายกริยา เช่น get-gets , live-lives , etc.
·
คำหริยาที่ลงท้ายด้วย s, sh, ch, x, z และ o ให้เติม es
หลังกริยา เช่น go-goes , wash- washes ,etc.
·
คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y แต่หน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i
แล้วเติม es เช่น
study- studies , worry – worries , etc.
·
คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y หน้า y เป็นสระ ( a
, e , i , o , u ) ให้เติม s ได้เลย เช่น say-says
, buy-buys , etc.
รูปแบบประโยค
· บอกเล่า She wants it.
· ปฏิเสธ She doesn’t
want it.
· คำถาม Does she want it ?
Yes, she does./ No, she doesn’t.
2.)Present Continuous Tense
โครงสร้าง S + is/am/are + V.ing
การใช้
·
ใช้กล่าวเหตุการณ์หรือการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นขณะที่พูดอยู่
มักมีคำบอกเวลา เช่น now. At the moment
, at the present time , today , right now , at the moment , etc.
- We are studying English now.
· ใช้กล่าวเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในระยะเวลาหนึ่ง มีคำบอกเวลา เช่น this year , this month , this semester , etc.
-
She is
learning English this month.
· ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
มักมีคำบอกเวลา เช่น tomorrow , next week , etc.
-
I am
going to Koh Chang next week.
· ใช้กับการกระทำทั้งสองอย่างที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน เช่น
-
She is
writing the letter and listening to the radio.
· ใช้กับการกระทำอย่างหนึ่งที่กำลังดำเนินอยู่ และมีผู้กระทำการอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาโดยโดยไม่คาดฝันมาก่อน
เช่น
-
My sister opens the door while I am listening
to the radio.
หลักการเติม ing ที่คำกริยา
· คำลงท้ายด้วย e ให้ตัด e ออกเเล้วจึงเติม ing เช่น write-writing ,
hope – hoping , etc.คำ
· พยางค์เดียว
มีสระ (vowel)
ตัวเดียว ลงท้ายด้วยพยัญชนะ (consonant) ตัวเดียว
ต้องเพิ่มพยัญชนะตัวท้ายเข้า เเล้วจึงเติม ing เช่น run – running , etc.
· คำลงท้าย ie เปลี่ยน ie นั้นเป็น y ก่อน แล้วจึงเติม ing เช่น die – dying , lie – lying ,et.
· คำลงท้ายด้วย l (แอล) มีสระตัวเดียว
ต้องเพิ่ม l เข้าอีกตัวหนึ่งเเล้วจึงเติม ing เช่น travel –travelling ,
control – controlling , etc.
รูปแบบประโยค
· บอกเล่า I am
teaching English now.
· ปฏิเสธ I am not teaching English
now.
· คำถาม Am I teaching
English now?
Yes, you are./ No, you aren’t.
ข้อควรจำ
มีกริยาบางชนิดที่ไม่ใช่รูปของ Continuous Form
· V.to be ได้แก่
is , am , are , was , were.
· กริยาบางประเภทที่แสดงถึงจิตใจ ได้แก่ love
, like , hate , etc.
· กริยาที่แสดงถึงความรู้สึกทางประสาทสัมผัส ได้แก่ feel , see, hear, etc.
· กริยา “to have”
3.)Present Perfect Tense
โครงสร้าง S + has/ have
+ Verb 3
การใช้
· ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต
และต่อเนื่องมาจนถึง ปัจจุบัน และจะมีคำว่า Since (ตั้งแต่) และ for (เป็นเวลา)
มาใช้ร่วมด้วยเสมอ
- I have worked
here since August.
- She has lived
here for a long time.
· ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต
(จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกใน ปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคต ก็ได้)และจะมีคำ ว่า ever (เคย) ,
never (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย
- I have never
eaten sushi.
· ใช้กับ
เหตุการที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ
คือ Just (เพิ่งจะ), already (เรียบร้อยแล้ว),
yet (ยัง), finally (ในที่สุด)
เป็นต้น
· I have
already had
dinner.
· The rain has just stopped.
* การใช้ since และ for
· For แปลว่า ‘เป็นเวลา’
ใช้กับจำนวนเวลานับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์จนมาถึงขณะที่พูด เช่น for 2 hours
, For years , for a long time, etc.
· Since แปลว่า ‘ตั้งแต่’
ใช้กับเวลาที่เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นั้นในอดีต
เช่น
Since I was born , since 1990 ,etc.
*การใช้ just ,yet ,
already
· yet ใช้ในประโยคในประโยคปฏิสธและอยู่ท้ายประโยค
เช่น
-
He has
not died yet.
·
just, already ใช้ในประโยคบอกเล่า วางไว้หน้ากริยาหลัก เช่น
-He has
just finished
his homework.
-I have
already read this book.
*การใช้ ever, never
· Ever แปลว่า ‘เคย’
ใช้ในประโยคคำถาม เพื่อถามถึงประสบการณ์หรือสิ่งที่ได้เคยกระทำผ่านมาในชีวิต
-
Have you ever
played golf?
· Never แปลว่า ‘ไม่เคย’ ใช้ในประโยคบอกเล่า แต่ความหมายเป็นปฏิสธ
- I never
been a house.
- ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดข้นหลายครั้งในอดีต
และอาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต โดยไม่ได้บอกว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ มี Adverb เช่น many times , several times
, etc.
- I have read
this book many times.
· ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดหรือกระทำไปแล้ว
แต่ผลของการกระทำยังประทับใจผู้พูดอยู่
The train has arrived at the station.
รูปแบบของ
verb
· Regular Verb = มีรูปเดิมตลอด
เพียงเติม ed ต่อท้าย
แต่ถ้ามี –e อยู้ขางหลังแค่เติม –d เช้น like-liked , etc.
· Irregular Verb = กริยาอปกติ
สามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือบางทีก็ไม่เปลี่ยนรูป เช่น put-put-put , go-went
–gone , come – came- come ,etc.
รูปแบบประโยค
· บอกเล่า I have
worked here for 10 years.
· ปฏิเสธ I have not
worked here for 10 years.
· คำถาม Have I worked
here for 10 years?
Yes, you are./ No, you aren’t.
ข้อสังเกต
ความแตกต่างของ
Present Continuous Tense กับ Present Perfect
Tense คือ จุดเริ่มต้นของการกระทำ
· Present Continuous Tense
ใช้กับจุดการกระทำอยู่ในปัจจุบันและกระทำต่อเนื่องในปัจจุบัน
· Present Perfect Tense เป็นจุดเริ่มต้นการกระทำในอดีต
และกระทำกริยานั้นต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
4.)Present Perfect
Continuous Tense
โครงสร้าง S + has/have + been
+ V.ing
การใช้
· ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ดำเนินอยู่ตั้งแต่อดีต
ดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันและจะดำเนินต่อไปในอนาคต
(แสดงความต่อเนื่องของการกระทำ)
- I have
been studying
at this school for 2 years up to now.
- She has
been working
for this company for 10 years up to now.
*มักมีคำบอกเวลาคือ since กับ for
ข้อสังเกต
·
ความแตกต่างระหว่าง Present Continuous Tense กับ Present
Perfect Continuous Tense
1.)
Present Continuous Tense (S + is/am/are
+ V.ing )
· Joey,
is singing.
· สื่อความหมายว่าโจอี้กำลังร้องเพลงอยู่ในขณะที่พูด
· มีการเน้นว่าตอนนี้มีกริยาที่กำลังกระทำอยู่ในปัจจุบัน
และยังไม่เสร็จสิ้น
2.)
Present Perfect Continuous Tense
· Joey has been singing
for 4 hours.
· สื่อความหมายว่าโจอี้กำลังร้องเพลงมาตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวล่
4 ชั่วโมง
· เน้นถึงกริยาที่ดำเนินมาเป็นระยะเวลาหนึ่งจนถึงปัจจุบัน
อาจจะเสร็จสิ้นตอนที่พูดถึงหรือดำเนินต่อไปก็ได้
รูปแบบประโยค
· บอกเล่า They have been living
in New York for 3 years up to now.
· ปฏิเสธ They have
not been living in New York for 3 years up
to now.
· คำถาม Have they been
living
in New York for 3 years up to now?
Yes, they have./ No, they haven’t.
· บอกเล่า Your mother has been waiting
for you since 5 o’clock.
· ปฏิเสธ Your mother has
not been
waiting for you since 5 o’clock.
· คำถาม Has your mother been waiting for you since 5 o’clock?
Yes, she has./ No, she hasn’t.
* สำหรับกริยาบางตัว เช่น
กริยาที่แสดงถึงสภาพจิตใจ กริยาที่แสดงถึงความรู้สึกของประสาทสัมผัส have (มี) ไม่สามารถนำมาใช้กับ Tense นี้ได้เพราะใช้ได้เฉพาะ Present Perfect Tense
5.)Past Simple
Tense
โครงสร้าง S + V.2
การใช้
·
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะที่พูด
และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น ago , last night ,
yesterday , last month , when I was young ,after they had gone เป็นต้น
- I went
to the church yesterday.
- He played
tennis yesterday.
·
ใช้กิจวัตรประจำวันและสิ่งที่ทำสม่ำเสมอในอดีต
- I
always watched
the cartoon when I was a child.
*จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า when อยู่ในประโยค when=เมื่อ ใช้กับรูปของ Past simple Tense ใช้เชื่อมข้อมูลสองส่วนที่เป็น
Tense ในระดับเดียวกัน
หลักการเติม ed ที่คำกริยา
·
กริยาที่ลงท้ายด้วย e
ให้เติม d ได้เลย เช่ น free-freed ,
rais-raises , etc.
·
กริยาที่ลงท้าย ด้วย y
และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม ed เช่น try-tried ,
carry- carried , etc.
·
กริยาที่ลงท้าย ด้วย y
แต่หน้า y เป็นสระ (a/e/i/o/u) ใหเติม ed ได้เลย เช่น
stay-stayed , enjoy – enjoyed ,etc.
·
กริยาที่มีพยางค์เดียว
มีสระ(a/e/i/o/u)ตัวเดียว
และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียวให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม เช่น hope-hoping , stop- stopped , etc.
·
กริยาที่มี 2 พยางค์ แต่ลงเสียงหนักพยางค์หลัง
และพยางค์หลังนั้น มีสระ(a/e/i/o/u)ตัวเดียว
และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1
ตัว แล้วเติม ed เช่น concur –
concurred ,permit – permitted , etc.
รูปแบบประโยค
· บอกเล่า I went there.
· ปฏิเสธ I did
not go
there.
· คำถาม Did
I go there?
Yes, you did./ No, you didn’t.
6.) Past Continuous Tense
โครงสร้าง S + was/were
+ V. ing
การใช้
·
ใช้กับการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต
- I
was doing homework at 10 p.m. last
night.
·
ใช้ร่วมกับ Past Simple Tense เพื่อแสดงถึงเหตุการณ์ในอดีตที่กำลังดำเนินอยู่ แล้วมีสิ่งหนึ่งเข้ามาขัดจังหวะ สิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ ใช้ Past Continuous Tense ส่วนสิ่งที่เข้ามาขัดจังหวะใช้
Past Simple Tense
- His mobile phone rang , while we were seeing moving
yesterday.
- While she was sleeping last
night , it rained.
·
ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำคู่ขนานกันไปในอดีต
- I was
studying English while you were studying Thai.
*กริยาที่แสดงถึงความรู้สึก และhave (มี) ไม่สามารถนำมาใช้ใน Tense นี้ได้แต่ใช้ได้ใน Present
Continuous Tense
·
ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นหรือกำลังดำเนินอยู่
ณ เวลาจุดใดจุดหนึ่งในอดีตไว้อย่างชัดเจน
- They was
cleaning the room at eight o’clock yesterday.
รูปแบบประโยค
· บอกเล่า She was singing.
· ปฏิเสธ She was
not singing.
· คำถาม Was she singing?
· Yes, she was./ No, she wasn’t
ข้อสังเกต
· Clause ที่ตามหลังWhen = Past Simple Tense
· Clause ที่ตามหลัง While = Past Continuous
Tense
*คำที่มักพบใน
Tenseนี้คือ while= ขณะนี้
7.)
Past Perfect Tense
โครงสร้าง S + had + V. 3
การใช้
· ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำ 2 อย่างที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงในอดีต โดย
- เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนใช้
Past Perfect Tense (s+ had + V.3)
- เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังใช้
Past Simple Tense (S+ V.2)
- I went
to work after I had eaten breakfast.
- When we came back , Eve had gone.
· ใช้กับการแสดงความปรารถนาในสิ่งที่ไม่เป็นจริงที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต
- We wish we had passed the
examination.
- I wish I had been born in a
famous family.
· เพื่อแสดงถึงสิ่งที่กระทำไปแล้วในอดีต
ปกติมักมีคำที่แสดงเวลากำกับอยู่ด้วย
- By ten o’clock a.m. , I had complete
my work.
รูปแบบประโยค
· บอกเล่า We had eaten fish.
· ปฏิเสธ We had
not eaten
fish.
· คำถาม Had we eaten
fish?
Yes, we had./ No, we hadn’t.
ข้อสังเกต
ความแตกต่างระหว่าง Present Perfect Tense กับ Past Perfect
Continuous Tense คือ ช่วงเวลา
· Past Perfect Tense
ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงไปก่อนอีกเหตุการณ์หนึ่งในอดีต
· Past Perfect Tense จะใช้กับเหตุการณ์มี่เกิดขึ้นในอดีตละดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
รูปแบบของ
verb
· Regular Verb = มีรูปเดิมตลอด
เพียงเติม ed ต่อท้าย
แต่ถ้ามี –e อยู้ขางหลังแค่เติม –d เช้น like-liked , etc.
· Irregular Verb = กริยาอปกติ
สามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือบางทีก็ไม่เปลี่ยนรูป เช่น put-put-put , go-went
–gone , come – came- come ,etc.
ข้อสังเกต
ความแตกต่างระหว่าง
Present
Continuous Tense และ Present Perfect Tense คือ
· Present Continuous Tense ใช้กับจุดการกระทำอยู่ในปัจจุบันและการกระทำต่อเนื่องในปัจจุบัน
· Present Perfect Tense เป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำในอดีต
และกระทำกริยานั้นต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
8.) Past Perfect Continuous Tense
โครงสร้าง
S
+ had + been +V.ing
การใช้
· ใช้แสดงการกระทำที่เกิดขึ้นและจบลงก่อนอีกเหตุการณ์หนึ่งในอดีต
(เป็นอดีตของอดีต แต่เป็นอดีตที่กินเวลาของการกระทำต่อเนื่องอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง
ไม่ได้เกิดขึ้นและจบลงทันทีเหมือน Past Perfect Tense
· I have been traveling in Japan
for 2 weeks before I flew to Australia.
· ใช้บอกสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตโดยใช้
Past
Perfect Continuous Tense เป็นสาเหตุ แต่ใช้ Past Simple
Tense เป็นผลลัพธ์
· Ann was angry. She had been
waiting for Mark for 3 hours.
*กริยาประเภทที่แสดงถึงจิตใจ ความรู้สึก have(มี) ในPresent
Perfect Continuous Tense ไม่สามารถนำมาใช้ได้ใน
Tense นี้ได้
รูปแบบประโยค
· บอกเล่า I had been working.
· ปฏิเสธ I had
not been
working.
· คำถาม Had I been
working ?
Yes, you had./ No, you hadn’t.
9.)
Future Simple
Tense
โครงสร้าง S + will/shall + V.1
การใช้
· ใช้กับเหตุการณ์ที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้า
- I think I will take a vacation leave next week.
· ใช้กับการคาดคะเน/ทำนายสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้น
- It will
rain tomorrow.
- People will not go to Jupiter before the 22 nd century.
· ใช้กับการให้สัญญา เพื่อบอกว่าจะทำอะไรในอนาคต
- I promise I will pay attention to my English class.
- I will
call you as soon as possible.
· ใช้บอกแผนการในอนาคตที่แน่นอน/วางแผนไว้แล้ว จะไม่ใช้ will แต่จะใช้ ‘ to be going to + V.infinitive
without to’
- Kathie is going to study a master’s degree in June.
- Mary and John are going to travel in Egypt next month.
คำบอกเวลา ได้แก่ tomorrow , tonight , next week , soon , etc.
หลักการใช้ ‘to be going
to’
· ใช้ to be going to เพื่อแสดงถึงการกระทำที่ถูกวางแผนไว้แล้ว
และการกระทำนั้นในอนาคตอันใกล้
- I am
going to phone to my brother tonight.
· ใช้ to be going to เพื่อแสดงถึงความรู้สึกที่แน่นอนเกี่ยวกับการกระทำของผู้พูด
- Help!I am going to drown.
· ไม่ใช้ to be going to กับกริยา
go และcome
กรณีที่เราไม่สามารถใช้ to be
going + V.1แทน will , shall ได้
· เหตุการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างเลี่ยงไม่ได้
- Today is the 7 th and tomorrow will be the 8 th.
· ใช้ในประโยคเงื่อนไขที่ใช้ if เป็นตัวเชื่อม
- We shall
play football if you come with us.
· เมื่อเป็นกริยาที่แสดงการรับรู้ เช่น know
, love , forget , etc.
- He will
understand what you said.
การใช้ will , shall สลับบุรุษ
*Shall ใช้กับบุรุษทั่ 2และ3
· ความหมายในเชิงให้คำสัญญา
- If
you help me do if you shall get
a reward.
· ความหมายในเชิงบังคับ
- You shall
be punished if you don’t follow his advices.
· ความหมายในเชิงแสดงความแน่วแน่ของการตัดสินใจ
- She shall pass the examination , of she
doesn’t cut my class.
*Will ใช้กับบุรุษที่ 1
· ความหมายเชิงแสดงความตั้งใจจริงของผู้พูด
- I will
go home soon.
· ความหมายในเชิงให้คำสัญญา
- I will
love you forever.
รูปแบบประโยค
· บอกเล่า We shall
ask him.
· ปฏิเสธ We shall not ask him.
· คำถาม Shall we ask him?
Yes,we shall./No,we shan’t.
10.)Future
Continuous Tense
โครงสร้าง S + will/shall + be+V.ing
การใช้
· ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต
เหตุการณ์เกิดก่อนContinuous Tense ส่วนเหตุการณ์เกิดขึ้นหลังใช้
Present Simple Tense
- He will
be sleeping
when I go to his house this evening.
· ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีการระบุเวะ
หแลาไว้ชัดเจน เช่น
- At nine o’clock tomorrow , they will be
studying at school.
- This time tomorrow they will
be flying
to America.
· ใช้กับเหตุการณ์ในอนาคตที่ได้ตัดสินใจไว้แน่นอนแล้วว่าจะทำจริงๆ
- I shall
be working
all day tomorrow.
· ใช้กับการกระทำคู่ขนานกันไปในอนาคต คือ 2
เหตุการณ์ดำเนินไปพร้อมๆกันซึ่งเหตุการณ์หนึ่ง Future
Continuous Tense และอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ดำเนินควบคู่กันไปพร้อมเหตุการณ์แรกใช้
Present Continuous Tense เช่น
- I will
be sleeping
while you are watching the football match tonight.
รูปแบบของประโยค
· บอกเล่า I shall
be going.
· ปฏิเสธ I shan’t be going.
· คำถาม Will you be
going?
Yes, I will./No,I won’t.
11.)Future Perfect Tense
โครงสร้าง S+ will/shall + have + V.3
การใช้
· ใช้กับการกระทำหรือเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต
ซึ่งขณะที่พูดเป็นเพียงการคาดการล่วงหน้าว่าถ้าถึงเวลานั้นแล้ว
การกระทำหรือเหตุการณ์หนึ่งจะเกิดขึ้นบูรณ์ก่อนแล้ว
จึงมีการกระทำหรือเหตุการณ์ที่2ตามมา โดยเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนใช้ Future Perfect Tense และการกระทำหรือเหตุการณ์เกิดขึ้นหลังใช้
Present Perfect Tense
- She will
have left
home when he comes tomorrow.
· ใช้บอกถึงการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในอนาคตตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้อย่างแน่นอน
- By tomorrow , you will have
heard the news.
· ใช้ในการบอกถึงการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนแล้ว แต่ยังไม่เสร็จสิ้นลง
คงดำเนินต่อไปจนถึงจุดสิ้นสุดในอนาคต
รูปแบบประโยค
· บอกเล่า He will
have finished it.
· ปฏิเสธ He won’t have
finished it.
· คำถาม Will he have
finished it ?
Yes, he wll./No,he won’t.
*จะสังเกตได้ว่า Future Perfect Tense มักจะมีคำบุพบท “by+เวลา”หมายความว่า
‘ก่อน’
12.) Future
Perfect ContinuousTense
โครงสร้าง S + will/shall+ have+ been+V.ing
การใช้
· ใช้กับเหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งในอดีต
ซึ่งจะเกิดก่อน Future Simple Tense แต่เหตุการณ์ที่ต้องเป็นFuture
Simple Tense จะเป็น Present Simple Tense
- Next week , I will have been traveling
in Japan before the second semester starts.
- Linda will
have been studying Chinese for 2
years by the time she works in China.
· ใช้บอกสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต โดยประโยคที่บอกสาเหตุใช้
Future Perfect Continuous Tense
และประโยคที่บอกผลลัพธ์ใช้ Future Simple Tense
- He will
be sleepy.
He will have
been watching
a football match all night next week.
* Future
Perfect ContinuousTense มีวิธีการเดียวกันกับ Future
Perfect Tenseทุกประการ ต่างกันที่ว่าเราใช้ Tenseนี้เพื่อแสดงถึงการต่อเนื่องของการกระทำ
ว่าได้ดำเนินต่อเนื่องกันไป แม้เมื่อถึงเวลานั้นการกระทำก็ยังคงดำเนินอยู่
และก็จะดำเนินต่อไปอีกไม่หยุด
*ปกติมักมีคำบุพบพ
‘by’แปลว่า ‘ก่อน’อยู่ในประโยค
รูปแบบประโยค
· บอกเล่า He will
have been
studying.
· ปฏิเสธ He will
not
have been studying.
· คำถาม Will he have
been studying?
Yes, he will./No, he won’t.
ภาษาอังกฤษเป็นภาษานานาชาติ
เป็นภาษากลางของฌลกซึ่งทุกคนใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน
ไม่ว่าแต่ละคนจะใช้ภาษาอะไรเป็นภาษาประจำชาติ
เมื่อต้องติดต่อกับคนอื่นที่ต่างภาษาต่างวัฒนธรรมหรือต่างเชื้อชาติ
ทุกคนก็จำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาประจำชาติ
ทุกคนจำเป็นต้องมีการเตรียมในด้านทักษะภาษาอังกฤษ เพื่อที่จะพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ
ซึ่งTenseถือเป็นเรื่องสำคัญและเป็นพื้นบานของภาษาอังกฤษ
หากเราสามารถรู้และเข้าใจถึงโครงสร้างของ Tense เราก็จะสามารถนำความรู้เรื่อง
tense ไปใช้ได้ในชีวิตจริง แต่ถ้าหากเราใช้ Tense ไม่ถูก เราก็จะสื่อสารภาษากับคนอื่นๆไม่ได้
เพราะประโยคในภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ Tense เสมอ
ดังนั้น Tense จึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นที่จะต้องรู้ต้องเข้าใจ
เพื่อนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น