วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Seventh : Learning log (6th October,2015)

Seventh : Learning  log  (6th  October,2015)

Noun Clause
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อสารกับผู้คนบนโลกนี้  เพราะภาษามีบทบาทสำคัญทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษาและด้านอื่นๆของโลก   แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในการสื่อสารกันทางภาษาอังกฤษต้องมีเรื่องของไวยากรณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  เพราะบางคนไม่ค่อยเห็นถึงความสำคัญของไวยากรณ์ แต่จริงๆแล้วไวยากรณ์นับเป็นเรื่องสำคัญ เพราะบางคนไม่ค่อยเห็นถึงความสำคัญองไวยากรณ์  เป็นเรื่องพื้นฐานที่จะทำให้ผู้เรียนในการต่อยอดในการศึกษา  ซึ่งการที่เราจะสื่อสารกันนั้นเราจะต้องศึกษาในเรื่องของไวยากรณ์  ซึ่งแต่ละประโยคที่เราสื่อสารกันนั้นจะประกอบไปด้วยส่วนย่อยต่างๆที่เล็กลงไปอีก และล้วนมีควาซับซ้อน  ฉะนั้นเราจะต้องศึกษาเรื่องพื้นฐานทางไวยากรณ์ นั่นก็คือ Noun clause ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของclause  ถ้าหากเรามีความรู้พื้นฐานในเรื่องนี้เราก็จะสามารถนำความรู้เรื่องเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในการเรียนในการเรียนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเขียน การอ่านและการพูดประโยคต่างๆในอนาคต
Noun clause คือประโยคที่ทำหน้าที่เหมือน คำนาม หรือกลุ่มคำนาม (นามวลี หรือ Noun phrase  )Noun Clause จะมีคำ  'that'  หรือคำ  wh-word (what; where, when, why, how เป็นต้น) นำหน้าประโยค หรือคือกลุ่มคำที่มีประธานและส่วนขยายเป็นของตัวเองและทำหน้าที่เหมือนคำนามตัวหนึ่ง ซึ่งคำนามมี Maker(เครื่องหมายหรือคำศัพท์ที่ใช้นำหน้า noun clause)  3 ประเภทเพื่อคำนาม noun clause ซึ่งได้แก่
·       การใช้ Noun clause ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words/Question Words
·       การใช้ Noun clause ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether
·       การใช้ Noun clause ที่ขึ้นต้นด้วย that
1. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words ได้แก่ what, where, when, why, how, ect.
1. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words   มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Indirect wh-questions และแม้ว่า noun clauses เหล่านี้จะขึ้นต้นด้วยคำแสดงคำถาม แต่ลำดับคำ (word order) ในอนุประโยคนี้ จะเป็นลำดับคำของประโยคบอกเล่า ไม่ใช่ลำดับคำของประโยคคำถาม เช่น
- I know why he comes home very late.
(ไม่ใช่ why does he come home very late)
-  I don’t know when he will arrive.
(ไม่ใช่ when will he arrive)
- I don't know where he lives.
- I don't know when he got up.
- I don't know why she is smiling.
- I don't know which one my sister likes.
- I don't know who he is.
- I don't know who(m) she loves.
- I wonder whose house that is.
2. การใช้เครื่องหมายวรรคตอนของประโยคจะเป็นไปตามลักษณะของ main clause  กล่าวคือ ถ้า main clause เป็นคำถามจะใช้เครื่องหมาย question mark ปิดประโยค ถ้า main clause เป็นบอกเล่า จะใช้เครื่องหมาย full stop ปิดประโยค เช่น
-  Could you tell me where the elevators are?
(Main clause เป็นคำถาม)
I’m wondering where the elevators are.
(Main clause เป็นบอกเล่า)
3. ใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words เพื่อแสดงให้คู่สนทนาทราบว่า เราไม่รู้ หรือเราไม่แน่ใจ เช่น
- I don’t know how much it costs.
- I would like to know when our next meeting will be.
- I’m not sure which house is his.
- I don’t know how he did it.  
4. ใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words เพื่อถามหาข้อมูลอย่างสุภาพ
- Could you tell me who are injured in the accident?
- Can you tell me what time the show starts?
2. การใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether   มีหลักเกณฑ์ดังนี้
1. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether คือ indirect yes/no questions  เช่น
                - Did they pass the exam? .( Direct Question)
- I don’t know if they passed the exam.( Indirect Question)
- I don’t know whether he will come.
- I don’t know if he will come.
- I don't know whether he will come.
                - I don't know if he will come.
                - I wonder whether or not he will come.
                - I wonder wheter he will come or not.
                - I wonder if he will come or not.
                - Whether he comes or not is not important to me.
                - I wonder  whether  she  needs  help.
                - I wonder if she needs help.
                - I don’t know whether this information is correct.
                - I don’t know  if this information is correct.
                * สำหรับ whether หรือ if จะนำมาใช้เมื่อเปลี่ยนจากคำถามที่ตอบ yes หรือ no (yes/no question) มาเป็น noun clause  เท่านั้น
                * whether หรือ if แปลว่า “ว่า....หรือไม่”
                * whetherใช้เป็นทางการมากกว่า ส่วน if  ใช้ได้ทั่วไปโดยเฉพาะภาษาพูดและ or not มักใช้ในภาษาพูดและภาษาไม่เป็นทางการมากกว่า
2. ลำดับคำในประโยค (word order) และเครื่องหมายจบประโยค ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words
3. จะขึ้นต้น Noun Clauses ด้วยคำว่า if หรือ whether ก็ได้ แต่มักใช้ whether ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างเป็นทางการ
                - Sir, I would like to know whether you prefer coffee or tea.
- Tell me if you want to go with us or not.
4. ใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether  เมื่อ main clause แสดงการใช้ความคิด หรือความคิดคำนึง  เช่น
I can’t remember if I had already paid him.
- I wonder whether he will arrive in time.
5. ใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether เมื่อต้องการถามคำถามอย่างสุภาพ เช่น
- Do you know if the principal is in his office.
- Can you tell me whether the tickets include drinks?
* whether ให้ความรู้สึกที่เป็นทางการมากกว่า if
3. การใช้ Noun clause ที่ขึ้นต้นด้วย that
ใช้เมื่อ noun clause ถูกสร้างมาจาก statement  (คำกล่าว)  ซึ่งจริงๆแล้ว that ที่ขึ้นต้นประโยค noun clause จะไม่มีความหมายในตัวเองแต่ทำหน้าที่นำหน้า noun clause เท่านั้น ดังนั้นจึงเห็นบ่อยครั้งที่ผู้ใช้ละ that ไว้ โดยเฉพาะเมื่อใช้พูด เช่น
                - I  think that she is a good teacher.
-I think she is a good teacher.  (ละ that)
                - I think that she is a good singer.
                - I think  she is a good singer.
                - I know (that) she is a good girl.
                - That she doesn’t like English is a big problem.
                - That the word is round is a fact.
                -I think that Surawee  is here today.
                -I don’t believe that the rain has stopped.
                -I’m afraid that we are not ready to leave.
                * การใช้ Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “that
                1.ใช้ตามหลัง verb บางตัวที่แสดงความรู้สึก ความคิดหรือความคิดเห็น  เช่น agree, feel, know, remember, believe, forget, realize, think, doubt, hope, recognize, understand เช่น
                - Sompong  knows  all along that his mum loves him so much.
                2. ถ้าเป็นภาษาพูด มักจะละคำว่า that ซึ่งเป็นคำขึ้นต้น clause  เช่น
                - I think that it’s red , not green.
                - I think  it’s red , not green.
                3. ส่วนใหญ่กริยา (verb) ที่ปรากฏอยู่ใน main clause  มักจะเป็น Present Simple Tense ธรรมดาส่วนกริยา(verb) ใน noun clause จะเป็น หำ อะไรก็ได้ เช่น
                - I believe it’s raining.(now)
                -I believe it’ll rain.(very soon)
                - I believe it rained.(a moment ago)
                4. ในการสนทนา ถ้าต้องการหลีกเลี่ยงการพูดคำว่า that บ่อยเกินไปหรือไม่ต้องการพูด noun clause ซ้ำ สามารถตอบโดยใช้คำว่า soหรือ not หลัง main clause ได้ เช่น
                Sarut : Is Sangrawee here today?
                Patraporrn : I think so.
                ( คำพูดเต็มๆ  คือ I think that Sangrawee is  here  today.)
                Denlar : Has the rain stopped?
                Saksit : I don’t believe so.
                (คำพูดเต็มๆก็คือ I don’t believe that the rain has stopped.) 
                Koob : Are we ready to leave?
                Saksit : I’m afraid not.
                (คำพูดเต็มๆก็คือ I’m afraid that we are not ready to leave.)
*การละ that ในประโยค Noun Clause
ประโยค Noun clause ที่ขึ้นต้นด้วย that หรือนำหน้าประโยคด้วย that นั้น ถ้าเป็นภาษาธรรมดา(informal)  โดยเฉพาะภาษาพูด (Spoken  Language) แล้วเรามักจะละ that  เสมอ เช่น
-          He says coffee grows in Brazil.
(= He says that coffee grows in Brazil.)
-          I  know   he’ll return soon.
(=I know  that he’ll return  soon.)
-          แต่ในกรณีต่อไปนี้ ประโยค Noun clause จะต้องใช้ that นำหน้าเสมอจะละในฐานเข้าใจไมนั่นคือ  เมื่อ that –clause ขึ้นต้นประโยคต้องใส่ that เสมอ เช่น
·       That coffee grows in Brazil  is true.
·       That she had decided to be engaged finished me  very much.
-          เมื่อ that –clause เป็นคำซ้อนนามที่อยู่ข้างหน้ามัน(Appositve) ต้องใส่ that เสมอ
·       The news that he was murderer is not true.
·       His belief that the earth moves  round  the sun is correct.
-          เมื่อ that –clause อยู่หลัง It is (หรือ it was) ต้องใส่ that เสมอ เช่น
·       It is true that the earth  moves  round  the sun.
·       It is impossible that he has done this by himself.
หน้าที่ของ Noun Clause
1.เป็นประธานของประโยค  ( Subject)
- Whether he will agree to this is doubtful.
- What my father said was true.
- That he should have married her is not surprising.
- When he leaves is his own decision.
- What she is doing seems very difficult.
- Where he lives is not known.
- What causes so many difficulties in the IELTS test is the writing section.
*ห้ามละ that ในกรณีที่ใช้ that เป็นประธาน
*ห้ามใช้ If กับ noun clause ที่เป็นประธานของประโยค แต่ใช้ whether ได้
2.ใช้ Noun clause เป็นกรรม (object) ของกริยาในประโยค โดย Noun clause ทำหน้าที่เหมือนคำนามหนึ่ง (S+V.1+Maker+S.2+V.2)
- She says that she won’t study.  (that she won’t study เป็นกรรมของกริยา says)
- No one believes that the project will go ahead. 
- I wonder why there is a strike today.
- Tell me where Jane lives.
- I want to know  where Jane lives.
- He promised that he would pay back the debt.
3. ใช้เป็นกรรมของคำบุพบท (Object of a Preposition) โดย noun clause จะวางอยู่หลังคำบุพบทนั้นๆ
- There is no meaning in what she says.
- Laura laughed at what I said.
- She paid no attention to what I said.
- Wanna  laughed at what you said.
- She is waiting for what she want.
4. ใช้เป็นส่วนเติมเต็มของกริยาในประโยค( Complement)
- The problem is how the refugees can be helped.  (how the refugees can be helped  เป็นส่วนที่ทำให้กริยา is สมบูรณ์ขึ้น)
- He is not what he seems.
- The question is where we can find the money for it.
- This is what you want.
- It seems that it is  impossible.
-He has become what we expected.
5. ใช้เป็นส่วนขยายของคำนามหรือสรรพนามคำอื่น( Appositive)
- I don’t accept the theory that man is a cousin of the monkey.
(that man is a cousin of the monkey เป็น noun clause ที่วางซ้อนหลังคำนามและทำหน้าที่ขยายคำนามที่อยู่ข้างหน้าตัวเองคือ theory)
-His belief that coffee will keep him alert is inconnect.
(that coffee will keep him alert is inconnect เป็นคำซ้อนของ belief)
-The news that he intended to come gave us much pleasure.
( that he intended to come เป็นคำซ้อนของนาม news)
                จากตัวอย่างที่ได้กล่าวไปนี้เป็นการพูดถึงความหมาย ประเภทและหน้าที่ของNoun Clause จากการที่ดิฉันได้ศึกษาเรื่อง Noun Clause ทำให้ดิฉันได้มีความรู้ในเรื่องของNoun Clause และสามารถแยกได้ว่าประโยคไหนป็น Main Clause  ประโยคไหนเป็น Subordinate Clause  สามารถระบุได้ว่าในประโยคนั้นทำหน้าที่เป็นอะไร  เป็นประธาน  เป็นกรรมของกริยาหรือของคำบุพบท  เป็นส่วนสมบูรณ์หรือเป็นคำซ้อนของคำนามของตัวอื่น  มีความรู้ในเรื่องของการละ that ในประโยคNoun Clause  ดังนั้นเรื่อง Noun Clauseเป็นความรู้พื้นฐานทางไวยากรณ์ที่สำคัญ เพราะช่วยให้เรามีความรู้ในเรื่องของประโยค สามารถสร้างประโยคที่มีความซับซ้อนได้ ที่เป็นการบอกรายละเอียดของประโยค ดิฉันสามารถนำความรู้เรื่องนี้ไปประยุกต์ใช้ในการอ่าน การเขียนและการพูดกี่ยวกับประโยค Noun Clauseได้ และสามารถนำความรู้เรื่องเหล่านี้ไปใช้ในการเรียนการสอนในอนาคตได้








               
               
               



















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น