Fifth : Learning log (15th September, 2015)
Learning log
Learning log
(15th
September, 2015)
การศึกษาเป็นกระบวนการที่พัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่มีคุณภาพ
มีความสามารถเต็มศักยภาพ ส่งเสริมให้บุคคลเจริญเติบโตและมีความเจริญงอกงามทางกาย
อารมณ์ สังคมและสติปัญญาจนเป็นสมาชิกของสังคมที่มีคุณธรรม การศึกษาของชาติจะเป็นตัวบ่งบอกคุณธรรมและความสามารถของครูผู้สอนว่ามีมากแค่ไหน
และคุณภาพของเด็กจะสะท้อนถึงคุณภาพของครูเช่นกัน ซึ่งในปี 2558
ประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รวมตัวกันเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน(Asean Community) ได้แก่ ประเทศไทย บรูไน กัมพูชา
อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์และเวียดนาม
มีการจัดตั้งประชาคมอาเซียนเพื่อส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ ความมั่นคง และความเจริญของประเทศในภูมิภาค
เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศสมาชิก ตลอดถึงการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
สังคม วัฒนธรรมและเทคโนโลยี
ส่งเสริมความร่วมมือของประเทศอาเซียนกับประเทศอื่นๆและองค์กระหว่างประเทศ
การทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะพัฒนาประเทศอาเซียนคือ
การศึกษา ทุกประเทศในประชาคมอาเซียนมีการแข่งขันทางการศึกษา
ซึ่งการที่การศึกษาของแต่ละชาติจะมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จนั้น
จะขึ้นอยู่กับว่าครูผู้สอนมีความสามารถหรือใช้วิธีการสอนแบบใดที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่แท้จริง
ทำให้ผู้เรียนเก่ง ดีและมีคุณธรรม นอกจากขึ้นอยู่กับคุณภาพของครูแล้ว
รูปแบบการสอนก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญ
เพราะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ทำให้ผู้เรียนแสดงออกมาซึ่งความรู้
ความสามารถและศักยภาพที่นักเรียนมี ดังนั้นสิ่งสำคัญที่พัฒนาผู้เรียนให้ก้าวไกล
มีคุณภาพและพร้อมที่จะเข้าสู่สังคมโลกได้คือ คุณภาพของครูและวิธีการสอน
การศึกษาของไทยในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก
ถือเป็นยุคโลกาภิวัตน์ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี
มีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆที่นำไปใช้ในการเรียนการสอนมากขึ้น
การเรียนการสอนในปัจจุบันจึงส่งผลให้ครูมีบทบาทในการสอนน้อยลง
ส่วนผู้เรียนไม่ได้เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง ขาดการคิด วิเคราะห์และแก้ปัญหา
ผู้เรียนไม่ตั้งใจเรียนและผลการเรียนตกต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในอาเซียน
การเรียนการสอนของไทยไม่ได้เน้นถึงความสามารถผู้เรียนที่แท้จริง ผู้เรียนไม่มีคุณธรรมจริยธรรมในการเรียน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าครูส่วนใหญ่ยังขาดความสามารถในศาสตร์ที่ตนสอน
สอนไม่ได้มาตรฐาน ครูสอนเนื้อหาวิชาที่เด็กไม่สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง
สอนให้เด็กท่องจำเพียงอย่างเดียว ครูไม่ได้สอนให้เด็กคิด วิเคราะห์
สังเคราะห์และคิดอย่างสร้างสรรค์ ครูมีภาระหน้าที่มากจึงทำให้ไม่มีเวลาในการเตรียมการสอน
ทำให้ประสิทธิภาพในการสอนน้อยลง ครูขาดการเอาใจใส่เด็ก ขาดทักษะทางด้านไอซีที และครูใช้วิธีการสอนที่ไม่ตรงกับสภาพของเด็ก
ปัญหาของครูทั้งหลายเหล่านี้จึงส่งผลให้เด็กอ่อนในด้านการศึกษา
และไม่สามารถพัฒนาการศึกษาให้ทัดเทียมกับชาติอื่นได้
ปี
2558 ประเทศไทยกำลังเข้าสูประชาคมอาเซียน เพื่อพัฒนาการศึกษาของไทยให้ทัดเทียมและก้าวหน้าทันประเทศอื่นๆ
เพื่อพัฒนาประเทศไทยสู้ความทันสมัยในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา คุณภาพชีวิต
ประชาชน สังคม วัฒนธรรม ประเพณี เศรษฐกิจและการเมืองการปกครอง ซึ่งประเทศไทยได้เข้าร่วมในประชาคมอาเซียนกับประเทศอื่นๆได้แก่
ประเทศไทย
บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์และเวียดนาม รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำไปสู่ประชาคมอาเซียนที่สมบูรณ์ ทำให้ประเทศต่างๆในภูมิภาคอยู่อย่างสันติสุข
แต่เมื่อพูดถึงสภาพการศึกษาไทยในปัจจุบัน
ประเทศไทยเป็นประเทศที่อยู่อันดับท้ายๆในด้านการศึกษา คือ สามารถเรียงตามลำดับคุณภาพการศึกษาที่ดีที่สุดไปหาน้อยที่สุด
ได้แก่ อันดับ 1 สิงคโปร์ อันดับ 2 บรูไน อันดับ 3 มาเลเซีย อันดับ 4 อินโดนีเชีย อันดับ
5 ฟิลิปปินส์ อันดับ 6 ลาว อันดับ 7 ไทย อันดับ 8 เวียดนาม อันดับ 9 กัมพูชา
และอันดับ 10 พม่า จะเห็นได้ว่าการศึกษาของไทยตกต่ำลงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค
ดังนั้นสิ่งสำคัญที่เราควรจะแก้ คือ เราควรจะมองไปที่ครูผู้สอนว่าครูผู้สอนใช้วิธีการสอนแบบไหน
สอนอย่างไรที่จะกระต้นให้ผู้เรียนมีความสนใจในการเรียน
เกิดการเรียรู้อย่างแท้จริงและสามารถนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในชีวิตจริง
ซึ่งคุณสมบัติหรือคุณลักษณะที่ครูผู้สอนควรมีคือ ความมุ่งมั้นตั้งใจ(determination)ในการสอน นั่นหมายถึงว่า
ครูจะต้องมีความตั้งใจจริง ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจในการสอนและทำกิจกรรมต่างๆเพื่อให้สำเร็จลุล่วงตามตามเป้าหมายที่กำหหนดไว้
และคำนึงว่าผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ในตนเอง
สามารถสร้างเด็กให้เป็นเยาวชนที่ดีของสังคมและชาติ ดังนั้นครูต้องเข้าใจปัญหาของเด็ก
นอกจากนั้นครูต้องเข้าใจเด็กแต่ละคน มีความอดทน ใจสู้
เมื่อผิดพลาดในการสอนครูก็ควรจะปรับปรุงแก้ไขข้อผิดของตน
ซึ่งวิธีการสอนเหล่านี้อาจจะช่วยให้ผู้เรียนเป็นเด็กยุคใหม่
ทันโลกทันเหตุการณ์และสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
แต่อย่างไรก็ตามการที่ประเทศไทยจะสร้างเยาวชนที่ดี
มีคุณภาพและมีศักยภาพทางการศึกษานั้น
จะพัฒนาหรือแก้ไขไปที่ครูผู้สอนอย่างเดียวไม่ได้
แต่เราควรจะมองไปที่รูปแบบการเรียนการสอนด้วย
เพราะรูปแบบการสอนของครูในอดีตกับปัจจุบันมีความแตกต่างเป็นอย่างมาก
เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุคโลกาภิวัตน์
มีสื่อเทคโนโลยีต่างๆและวิทยาการต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องในการเรียนการสอนมากขึ้น
ดังนั้นเพื่อเป็นการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง
ครูผู้สอนควรสอนแบบบูรณาการ เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ผสมผสานความรู้ต่างๆ
ครูผู้สอนจะต้องเชื่อมโยงเนื้อหาเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และสามารถนำความรู้นั้นๆไปใช้ได้จริง
นั่นได้แก่ การสอนแบบนิรนัย (Deductive Method) วิธีสอนแบบนี้ เป็นการสอนที่เริ่มจากกฎหรือหลักการต่างๆ
แล้วให้นักเรียนหาหลักฐานเหตุผลมาพิสูจน์ยืนยัน
วิธีการสอนแบบนี้ฝึกหัดให้นักเรียนเป็นคนมี เหตุมีผล ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ
จนกว่าจะพิสูจน์ให้เห็นจริง
ขั้นตอนในการสอนแบบนิรนัย
ซึ่งมีขั้นสอนคือ ขั้นอธิบายปัญหา ระบุสิ่งที่จะสอนในแง่ของปัญหา
เพื่อยั่วยุให้นักเรียนเกิดความสนใจที่จะหาคำตอบ
ขั้นอธิบายข้อสรุป ได้แก่
การนำเอาข้อสรุปกฎหรือนิยามมากกว่า 1 อย่างมาอธิบายเพื่อให้นักเรียนได้เลือกใช้ในการแก้ปัญหา ขั้นตกลงใจเป็นขั้นที่นักเรียนจะเลือกข้อสรุป
กฎหรือนิยาม ที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหา
ขั้นพิสูจน์หรืออาจเรียกว่าขั้นตรวจสอบเป็นขั้นที่สรุปกฎหรือนิยามว่าเป็นความจริงหรือไม่
โดยการปรึกษาครู ค้นคว้าจากตำราต่างๆ และจากการทดลองข้อสรุปที่ได้พิสูจน์ว่าเป็นความจริงจึงจะเป็นความรู้ที่ถูกต้องและการสอนแบบอุปนัย(Inductive Method) เป็นการสอนจากรายละเอียดปลีกย่อยไปหา กฎเกณฑ์ กล่าวคือ
เป็นการสอนแบบย่อยไปหาส่วนรวมหรือสอนจากตัวอย่างไปหากฎเกณฑ์ หลักการ ข้อเท็จจริง
หรือข้อสรุป โดยการให้นักเรียนทำการศึกษา สังเกต ทดลอง เปรียบเทียบ
แล้วพิจารณาค้นหาองค์ประกอบที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันจากตัวอย่างต่างๆ
เพื่อนำมาเป็น ข้อสรุปขั้นตอนในการสอนแบบอุปนัยได้แก่ ขั้นเตรียม คือ
การเตรียมตัวนักเรียน เป็นการทบทวนความรู้เดิม กำหนด จุดมุ่งหมาย และอธิบายความมุ่งหมายให้นักเรียนได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
ขั้นที่สองคือขั้นสอน คือ การเสนอตัวอย่างหรือกรณีต่างๆให้นักเรียนได้พิจารณา
เพื่อให้นักเรียนสามารถเปรียบเทียบ สรุปกฎเกณฑ์ได้ การเสนอตัวอย่าง ขั้นที่สามคือขั้นเปรียบเทียบและรวบรวม
เป็นขั้นหาองค์ประกอบรวมคือการที่นักเรียน
ได้มีโอกาสพิจารณาความคล้ายคลึงกันขององค์ประกอบในตัวอย่างเพื่อเตรียมสรุปกฎเกณฑ์ ขั้นที่สี่คือขั้นสรุป
คือ การนำข้อสังเกตต่าง ๆ จากตัวอย่างมาสรุปเป็นกฎเกณฑ์ นิยาม หลักการหรือสูตร ขั้นที่ห้าคือการนำไปใช้ คือ
ขั้นทดลองความเข้าใจของนักเรียนเกี่ยวกับกฎเกณฑ์หรือข้อสรุปที่ได้มาแล้วว่าสามารถที่จะนำไปใช้ในปัญหาหรือแบบฝึกหัดอื่นๆได้หรือไม่
นอกจากนี้ครูควรสร้างเทคนิคการสอนเพิ่มเติมนั่นก็คือ การสอนคำศัพท์
เพื่อให้ผู้เรียนฝึกจำคำศัพท์
เพราะการที่ผู้เรียนมีคลังคำศัพท์มากจะช่วยให้ผู้เรียนนำคำศัพท์ไปใช้ในบทเรียนต่างๆได้
ช่วยประหยัดเวลาในการแปลและช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจในสิ่งที่เรียนได้ง่ายขึ้น
และการที่ครูสอนแบบการยกตัวอย่างจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าในในบทเรียนนั้นได้ง่ายยิ่งขึ้น
เช่นการยกสถานการณ์ต่างๆ แล้วให้ผู้เรียนช่วยกันแก้ปัญหา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงและเกิดการเรียนรู้ที่ผูเรียนเป็นศูนย์กลาง
การศึกษาเป็นกระบวนการขัดเกลาคนให้เป็นคนดี
มีคุณภาพ มีศักยภาพในการทำงาน ช่วยพัฒนาจิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา
สร้างคนให้มีความรู้ ความสามารถ มีทักษะชีวิต
มีความพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อตนเองและสังคม มีความพร้อมที่จะประกอบการงานอาชีพได้ เมื่อพูดถึงการศึกษาของประเทศไทยถือว่าการศึกษาไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก
มีการสร้างเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆที่เกี่ยวกับการเรียนการสอนมากขึ้นประกอบกับว่าประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
ดังนั้นประเทศไทยจึงต้องเร่งพัฒนาการศึกษาของชาติให้ก้าวไกลและทัดเทียมประเทศอื่นๆ
จะต้องพัฒนาครูให้มีคุณภาพ แต่การที่จะพัฒนาครูนั้น
เราควรจะมองไปที่ปัญหาต้นตอเป็นสำคัญแล้วจึงแก้ไขปัญหานั้น
เมื่อครูมีคุณภาพแล้วจากนั้นจึงพัฒนารูปแบบการสอนของครู ครูใช้วิธีสอนแบบไหน
ใช้กระบวนการสอนอย่างไรจึงจะกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจในสิ่งที่เรียน
เกิดการพัฒนาตนเองและเรียนรู้อย่างแท้จริง
ในระหว่างที่ครูสอนครูก็ควรสอนคุณธรรมจริยธรรมแทรกในเนื้อหาไปด้วย
ไม่ใช่เพียงสอนให้เสร็จตามคาบเรียน ดังนั้นครูก้เปรียบเสมือนแม่พิมพ์ของชาติ
การศึกษาของประเทศจะพัฒนาไปได้ไกลแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าครูมีคุณภาพและความสามารถมากแค่ไหน
และการศึกษาของเด็กก็ย่อมสะท้อนถึงคุณภาพของครูดังคำกล่าวที่ว่า
“ กล้วยไม้ออกดอกช้า ฉันใด
การศึกษาเป็นไป เช่นนั้น
แต่ดอกออกคราวใด งามเด่น
งานสั่งสอนปลูกปั้น เสร็จแล้วแสนงาม”
บทกลอนนี้หมายความว่า กล้วยไม้เป็นพืชที่อยู่ในที่สูง
ทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศไม่ร่วงโรยง่ายเปรียบเสมือนครูที่อยู่ทั่วแดนไทยที่ต้องอดทนต่อสู้เพื่ออุดมการณ์และอุทิศตนเพื่อการศึกษาของชาติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น