การเรียนรู้นอกห้องเรียน
(13th October, 2015)
การฝึกทักษะการเขียน
การเขียนถือเป็นทักษะอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญ
เป็นการสื่อสารและการถ่ายทอดทางภาษาเพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจถึงความรู้ ความคิด
ความรู้สึกและอารมณ์ของผู้เขียนได้
เป็นทักษะที่สำคัญใน 4 ทักษะทางภาษา ซึ่งในการเรียนและการฝึกทักษะทางภาษานั้นผู้เรียนก็จะต้องใช้ทักษะการเขียนด้วย
เพราะทักษะการเขียนเป็นทักษะการใช้ภาษาแทนคำพูดเพื่อสื่อความหมายเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจตรงตามความมุ่งหมายของผู้เขียน
ซึ่งการใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมายเป็นศาสตร์ที่ผู้ใช้ต้องรู้จักคำและเลือกใช้คำให้ถูกต้อง
เหมาะสม ตรงความหมาย ตรงราชาศัพท์ เหมาะกับกาลเทศะ ไม่ใช้คำซ้ำซ้อน รู้จักหลบคำโดยไม่เกิดความกำกวม
และใช้คำให้เกิดภาพพจน์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นกลยุทธิ์ในการใช้คำ
ที่ไม่ใช่เพียงแต่สื่อความรู้ความเข้าใจเท่านั้น แต่ยังเป็นการบอกถึงความรู้สึกและอารมณ์อีกด้วย
แต่ดิฉันคิดว่าส่วนสำคัญขึ้นอยู่กับว่าผู้เขียนมีทักษะในการใช้ภาษาเขียนได้ดีเพียงใด เพราะทักษะการใช้ภาษาเขียนต้องอาศัยพื้นฐานความรู้จากการฟัง
การพูด และการอ่าน เพราะทักษะพื้นฐานดังกล่าวจะทำให้มีความรู้ มีข้อมูล และมี
ประสบการณ์เพียงพอที่จะให้เกิดความคิด
ความสามารถในการเรียบเรียงและถ่ายทอดความคิดออกมา
สื่อสารกับผู้อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นทักษะการฟัง พูด
อ่านและเขียนล้วนมีความเกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น ดังนั้นดิฉันจะฝึกทักษะการเขียนตั้งแต่วันอังคารที่
13 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2558 – วันอังคารที่19 เดือน ตุลาคม
พ.ศ.2558
วันที่ 13- 14 ตุลาคม 2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการเขียนจากเรื่อง David Copperfield’s childhood จาก http://www.gradesaver.com/david-copperfield/study-guide/summary เป็นเรื่องเขียนของ
Charles Dickens
เหตุผลที่ดิฉันเลือกฝึกทักษะการเขียนจากเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ ดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน มีตัวละครที่น่าสนใจและให้ข้อคิดดีๆ
มีคำศัพท์ที่น่าสนใจเหมาะแก่การเขียนสรุปความ ในการอ่านครั้งแรกดิฉันอ่านเพื่อสรุปโดยไม่มีการแปลคำศัพท์
แต่จะดูความหมายจากบริบท จากนั้นดิฉันได้แปลเรื่องนี้ ซึ่งในการเขียนสรุปมีขั้นตอนการเขียนคือ
การอ่านเพื่อสรุปความ จะต้องจับประเด็นให้ได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร
อย่างไร แล้วจดบันทึกไว้ จากนั้นจึงสรุปความของเรื่องที่อ่าน
ซึ่งสามารถสรุปความเรื่องนี้ได้ว่า “เดวิด คอปเปอร์วิวเกิดในอังกฤษ
พ่อของเขาได้เสียชีวิตก่อนที่เขายังไม่เกิด ดังนั้นเขาต้องอยู่กับแม่ของเขาโดยไม่มีความสุข
ก่อนที่แม่ของเดวิดจะคลอดเขา ป้าของพ่อของเดวิดชื่อว่าเบสซี่และคนรับใช้ของเธอชื่อเพกอทตี้
ได้มาเยี่ยมแม่ของเดวิดและแม่ของเดวิดรู้สึกเสียใจมากและร้องไห้ต่อหน้า เบสซี่ จากนั้นพวกเธอทั้งสองก็พูดเรื่องพ่อของเดวิดที่ตายไปแล้ว แม่ของเดวิดจึงตกจากเก้าอี้และหมดสติไป ดังนั้นเพกอทตี้จึงพาเธอขึ้นไปชั้นบนและหมอก็มารักษาเธอ
จากนั้นเบสซี่ก็หายไปไม่กลับมาอีกเลย จากนั้นแม่ของเดวิดและเพกอทตี้กี้ดูแลเดวิดเป็นอย่างดี
จากนั้นเพกอทตี้จึงพาเดวิดไปบ้านของน้องชายของเธอชื่อแดเนียล เมื่อพวกเขาไปถึงบ้านของแดเนียลพวกเขาก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี
เดวิดและลูกเลี้ยงของแดเนียลชื่อว่าเอมมิลี่เล่นกันอย่างสนุกสนาน
จากนั้นเดวิดจึงกลับไปหาแม่ของเธอและเธอไม่ชอบพ่อเลี้ยงของเธอ” ต่อมาในวันที่
15 กันยายน 2558 ดิฉันได้สรุปเนื้อหาและเอาเนื้อหาของเรื่อง David Copperfield’s childhood
มาเขียนสรุปความโดยมีหลักการเขียนคือ
อ่านเนื้อเรื่องทั้งหมดอย่างน้อย 2 รอบ
เพื่อให้เข้าใจว่าเรื่องที่อ่านเกี่ยวข้องกับอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร
กับใคร
จากนั้นหาสาระที่สำคัญของเรื่องมาเขียนโดยใช้ภาษาของตัวเองและใช้คำที่สั้น
เข้าใจง่าย และได้ใจความ ในการเขียนสรุปความควรดูความถูกต้องของ ไวยากรย์เป็นสำคัญ
คำนึงเรื่องของภาษาที่ใช้ในการเขียนที่สละสลวย ผู้อ่านอ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย
ไม่เขียนกำกวมและประโยคไม่ยาวและไม่สั้นเกินไป
เมื่อดิฉันได้ฝึกการเขียนนี้แล้วดิฉันรู้สึกว่าได้รู้ถึงหลักการเขียนสรุปความ
เรียนรู้ของคำศัพท์ใหม่ๆ ฝึกทักษะการอ่านที่เป็นท่วงทำนองและการออกเสียงคำตต่างๆได้ถูกต้องตามหลักการออกเสียง
วันที่ 15-16 ตุลาคม 2558
ดิฉันได้ฝึกทักษะการเขียนโดยการอ่านนวนิยายเรื่อง Animal Farm โดยอ่านจาก
http://www.cliffsnotes.com/literature/a/animal-farm/book-summary สาเหตุที่ดิฉันเลือกฝึกทักษะการเขียนเรื่องนี้ก็เพราะว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
เนื้อเรื่องไม่ยาวเกินไป และเป็นเรื่องที่เคยได้ยินมา มีตัวละครที่น่าสนใจและให้ข้อคิดดีๆ
เป็นเรื่องที่สะท้อนถึงเรื่องจริงของการเมืองการปกครอง อีกทั้งมีคำศัพท์ที่น่าสนใจเหมาะแก่การเขียนสรุปความ
ในการอ่านครั้งแรกดิฉันอ่านเพื่อสรุปโดยไม่มีการแปลคำศัพท์
แต่จะดูความหมายจากบริบท จากนั้นดิฉันได้แปลเรื่องนี้ ซึ่งในการเขียนสรุปมีขั้นตอนการเขียนคือ การอ่านเพื่อสรุปความ
จะต้องจับประเด็นให้ได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร แล้วจดบันทึกไว้
จากนั้นจึงสรุปความของเรื่องที่อ่าน ซึ่งสามารถสรุปความเรื่องนี้ได้ว่า “ในฟาร์มแห่งหนึ่งชื่อ “ไร่แมนเนอร์” ซึ่งมีชาวนาขี้เมาเป็นเจ้าของ
เขาของฟาร์มนี้ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่เคยดูแลสัตว์ต่างๆในฟาร์ม ดังนั้นพวกสัตว์ในฟาร์มจึงรวมตัวกันปฏิวัติและขับไล่เจ้าของฟาร์มออกไป
มีหมู 2 ตัวเป็นผู้นำชื่อ “สโนว์บอล และ นโปเลียน”
และสัตว์ทุกตัวต่างมีอุดมการณ์และต้องการที่จะปฏิวัติเพื่อที่จะเป็นอิสระ
มีการเปลี่ยนชื่อฟาร์มเป็น “แอนนิมอลฟาร์ม” ถูกปกครองโดยสัตว์
และเกิดระบบการปกครองแบบใหม่ซึ่งไม่เหมือนกันกับการปกครองของมนุษย์
แต่พวกมันก็ยังมีความละโมบอยู่ ” ต่อมาในวันที่
17 ตุลาคม 2558 ดิฉันได้สรุปเนื้อหาและเอาเนื้อหาของเรื่อง
Animal Farm มาเขียนสรุปความโดยมีหลักการเขียนคือ อ่านเนื้อเรื่องทั้งหมดอย่างน้อย 2 รอบ
เพื่อให้เข้าใจว่าเรื่องที่อ่านเกี่ยวข้องกับอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร
กับใคร
จากนั้นหาสาระที่สำคัญของเรื่องมาเขียนโดยใช้ภาษาของตัวเองและใช้คำที่สั้น
เข้าใจง่าย และได้ใจความ ในการเขียนสรุปความควรดูความถูกต้องของ ไวยากรย์เป็นสำคัญ
คำนึงเรื่องของภาษาที่ใช้ในการเขียนที่สละสลวย ผู้อ่านอ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย
ไม่เขียนกำกวมและประโยคไม่ยาวและไม่สั้นเกินไป
เมื่อดิฉันได้ฝึกการเขียนนี้แล้วดิฉันรู้สึกว่าได้รู้ถึงหลักการเขียนสรุปความ
เรียนรู้ของคำศัพท์ใหม่ๆ
ฝึกทักษะการอ่านที่เป็นท่วงทำนองและการออกเสียงคำตต่างๆได้ถูกต้องตามหลักการออกเสียง
และได้ข้อคิดเกี่ยวกับระบบการปกครองในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆที่ยังปกครองด้วยอำนาจ
สร้างอุดมการณ์ขึ้นมาแต่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง มีการคอรัปชั่นต่างๆอยู่
จึงทำให้ประเทศเกิดความวุ่นวาน ยากที่จะเกิดการพัฒนาประเทศ
วันที่ 18-19 ตุลาคม 2558
ดิฉันได้ฝึกทักษะการเขียนโดยการอ่านนวนิยายเรื่อง Frankenstein
จาก http://www.cliffsnotes.com/literature/f/frankenstein/book-summary แต่งโดย Marry
Shelly
เพราะเป็นนวนิยายที่น่าสนใจและมีตัวละครที่ชวนให้น่าติดตาม
ในการอ่านครั้งแรกดิฉันอ่านเพื่อสรุปโดยไม่มีการแปลคำศัพท์
แต่จะดูความหมายจากบริบท จากนั้นดิฉันได้แปลเรื่องนี้ ซึ่งในการเขียนสรุปมีขั้นตอนการเขียนคือ
การอ่านเพื่อสรุปความ จะต้องจับประเด็นให้ได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร
อย่างไร แล้วจดบันทึกไว้ จากนั้นจึงสรุปความของเรื่องที่อ่าน
ซึ่งสามารถสรุปความเรื่องนี้ได้ว่า “ แฟรงเคนสเตรน เป็นผีที่ถูกสร้างให้มีชีวิตขึ้นมา
ในเรื่องนี้ มันเป็นสัตว์ประหลาดที่มีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว
ผู้คนต่างไม่ชอบมันเพราะมันเหมือนอสูร ดุร้ายและชอบฆ่าคน
วันหนึ่งมันฆ่าน้องชายและภรรยาของเจ้าของที่สร้างมันขึ้นมา จากนั้นเจ้าของจึงตามมันไปและถูกมันฆ่าตาย
แฟรงเคนสเตรนจึงหนีไปและมันก็เป็นเพียงเครื่องจักรที่ไม่มีจิตใจเหมือนมนุษย์”
” ต่อมาในวันที่ 19
ตุลาคม 2558
ดิฉันได้สรุปเนื้อหาและเอาเนื้อหาของเรื่อง Frankenstein มาเขียนสรุปความโดยมีหลักการเขียนคือ อ่านเนื้อเรื่องทั้งหมดอย่างน้อย 2 รอบ
เพื่อให้เข้าใจว่าเรื่องที่อ่านเกี่ยวข้องกับอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร
กับใคร จากนั้นหาสาระที่สำคัญของเรื่องมาเขียนโดยใช้ภาษาของตัวเองและใช้คำที่สั้น
เข้าใจง่าย และได้ใจความ ในการเขียนสรุปความควรดูความถูกต้องของ ไวยากรย์เป็นสำคัญ
คำนึงเรื่องของภาษาที่ใช้ในการเขียนที่สละสลวย ผู้อ่านอ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย
ไม่เขียนกำกวมและประโยคไม่ยาวและไม่สั้นเกินไป
เมื่อดิฉันได้ฝึกการเขียนนี้แล้วดิฉันรู้สึกว่าได้รู้ถึงหลักการเขียนสรุปความ
เรียนรู้ของคำศัพท์ใหม่ๆ
ฝึกทักษะการอ่านที่เป็นท่วงทำนองและการออกเสียงคำตต่างๆได้ถูกต้องตามหลักการออกเสียง และได้ข้อคิดเกี่ยวกับผลเสียของเทคโนโลยี
เมื่อมนุษย์มีการสรางเทคโนโลยีขึ้นมา ถ้าหากว่าวันใดที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมสิ่งที่พวกเขาสร้างได้
มันก็จะกลับมาทำร้ายคนที่สร้าง และเรื่องที่สอนว่า
“คนทุกคนต้องรับผิดชอบในทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนกระทำ”
การเขียนเป็นระบบการสื่อสาร
หรือบันทึกถ่ายทอดภาษาเพื่อแสดงออกซึ่งความรู้ ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์โดยใช้ตัวหนังสือ
และเครื่องหมายต่างๆเป็นสื่อ ดังนั้นการเขียนจึงเป็นทักษะการใช้
ภาษาแทนคำพูดที่สามารถสื่อความหมายให้เป็นหลักฐานปรากฏได้นานกว่าการพูด
การเขียนที่เป็นเรื่องราวเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจตรงตามความมุ่งหมายของผู้เขียนนั้น
จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด
ส่วนสำคัญขึ้นอยู่กับว่าผู้เขียนมีทักษะในการใช้ภาษาเขียนได้ดีเพียงใด
ซึ่งทักษะการใช้ภาษาเขียนต้องอาศัยพื้นฐานความรู้จากการฟัง การพูด และการอ่าน
เพราะจากพื้นฐานดังกล่าวจะทำให้ผู้เขียนมีความรู้ มีข้อมูล และมี
ประสบการณ์เพียงพอที่จะให้เกิดความคิด ความสามารถในการเรียบเรียงและถ่ายทอดความคิดออกมา
สื่อสารกับผู้อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากการที่ดิฉันได้ฝึกทักษะการเขียนไปในสัปดาห์นี้ทำให้ดิฉันมีทักษะในการเขียนมากกว่าเดิม
ได้กลวิธีการเขียน
ได้เรียนรู้ว่าเขียนอย่างไรให้ผู้อ่านเข้าใจและการใช้ภาษาที่สละสลวย ได้เรียนรู้ถึงการเขียนโครงเรื่อง
การเขียนสรุปความ
ได้เรียนรู้ในเรื่องของคำศัพท์ที่เขียนในบทความและพัฒนาทักษะการอ่านไปด้วย
ดิฉันสามารถนำความรู้เหล่านี้ไปพัฒนาต่อและประยุกต์ใช้ในการเรียนในสาขาวิชาต่างๆในอนาคตได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น